Saturday, July 11, 2009

ที่มาของคำว่า F U C K (ไม่หยาบน่ะค่ะ)

คำว่า F U C K มาจากที่ไหนรู้หรือไม่ ลองเข้ามาดูกัน

สมัยอังกฤษโบราณ..บุคคลมิอาจร่วมประเวณีกัน
โดยปราศจาก การยิมยอมของกษัตริย์

ดังนั้น เมื่อชายหญิงต้องการจะมีบุตร
จึงจะต้องได้รับ
พระราชานุญาตจากกษัตริย์ก่อน.......และกษัตริย์
จะพระราชทานใบปิด ซึ่งจะต้องนำไปปิดไว้ที่
ประตูหน้าบ้านระหว่างที่มีการร่วมประเวณี....
ซึ่งจะมีข้อความว่า

"ให้ผิดประเวณีได้ภายใต้พระบรมราชานุญาตของกษัตริย์" .....

ซึ่งภาษาอังกฤษเค้าเขียนอย่างนี้
" Fornication Under Consent of the King"

ซึ่งปัจจุบันคนทั่วโลกนิยมเรียกเป็นคำย่อว่า.

.............F.U.C.K..............!!!!!!!!!!!

ลักษณะงานโรงแรม

ลักษณะของงานโรงแรม

ลักษณะเฉพาะของที่พักแรม

ที่พักแรมจะมีลักษณะเฉพาะและแตกต่างจากสินค้าประเภทอื่นๆ ดังนี้คือ

1.สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้จำนวนจำกัด ( Fixed Capacity ) ไม่ว่าจะมีนักท่องเที่ยว

ต้องการห้องพักมากหรือน้อย ที่พักแรมประเภทต่าง ๆ ก็สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้เท่ากับจำนวนห้องพักที่มีอยู่เท่านั้น

2.สูญเสียผลประโยชน์ได้โดยง่าย ( Oerishability ) เนื่องจากที่พักแรมสามารถรองรับนักท่อง

เที่ยว ได้ไม่เกินจำนวนห้องพักที่มีอยู่ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่ห้องพักว่างไม่มีคนพัก จะทำให้ที่พักแรมนั้นสูญเสียรายได้ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว ( Low Season ) ซึ่งต่างกับสินค้าทั่วไป

ถ้าเหลือขายไม่หมดก็เก็บไว้ขายในโอกาสต่อไป

3. เป็นสินค้าที่จับต้องไม่ได้ ( Intangible Nature Of Service ) เนื่องจากเป็นโรงแรมงานบริการ

จึงไม่สามารถจะจับต้องสินค้าได้ เช่น จับต้องไม่ได้ว่าการบริการดีแค่ไหน ห้องสะอาดแค่ไหน ฯลฯ

4. ขบวนการผลิต ( Production Method ) วิธีการผลิตของสินค้าบริการจะไม่ซับซ้อนเหมือนการผลิตสินค้าทั่วๆไป ผู้บริโภคสามารถบริโภคที่จุดผลิตได้เลย และไม่สามารถควบคุมมาตรฐานได้แน่นอน เพราะขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการและรับบริการว่ามีความต้องการสอดคล้องกันหรือ ไม่ ผลสำเร็จจากกการขายคือ ความพอใจ ซึ่งแต่ละคนจะมีไม่เหมือนกัน

5. ช่องทางการจัดจำหน่าย ( Distribution Channal ) สำหรับสินค้าทั่วไปช่องทางการจัดจำหน่ายจะมีขั้นตอนดังนี้คือ จากผู้ผลิต ( Producer ) ไปสู่ผู้ค้าส่ง ( Wholesaler ) ต่อไปถึงผู้ค้าย่อย ( Retailer ) แล้วจึงผ่านไปถึงผู้บริโภค ( Consumer ) แต่สินค้าบริการหรือลักษณะของโรงแรมถึงแม้จะมีการผ่านมือนายหน้าซึ่งได้แก่ ตัวแทนจำหน่าย ( Travel Agent ) หรือหน่วยงานอื่น ๆ แต่สินค้าลักษณะนี้ก็ไม่สามารถจับต้องหรือมองเห็นสินค้าได้ จนกว่าผู้บริโภคจะเข้าไปใช้บริการเอง

6. ต้นทุนค่าใช้จ่ายไม่คงที่แน่นอน ( Cost Determinant ) บริการของโรงแรมสามารถเปลี่ยนแปลงตามความมต้องการของลูกค้าได้และประเภทของ ลูกค้า ซึ่งลูกค้าจะเป็นผู้เสี่ยงในการเลือกซื้อบริการ ดังนั้นจึงไม่สามารถคำนวณต้นทุนของสินค้าได้แน่นอน

7. เป็นสินค้าที่ต้องใช้แรงงานมนุษย์ ( Labour ) โรงแรมจะผลิตสินค้าบริการขึ้นมาต้องอาศัยพนักงานในการผลิต ดังนั้นที่จะผลิตให้ได้มาตรฐานเหมือนกันหมดจึงค่อนขางยาก เพราะความสามารถของมนุษย์ไม่เท่ากัน แม้โรงแรมแต่ละโรงแรมจะตั้งมาตรฐานในการให้บริการของพนักงานไว้ ซึ่งต่างกับการผลิตสินค้าส่วนใหญ่จะผลิตจากเครื่องจักร จึงทำให้สินค้าออกมามีคุณภาพเหมือนกันหรือใกล้เคียงกันที่สุด

ลักษณะพิเศษของงานโรงแรม

1. งานโรงแรมเป็นงานลักษณะทีมเวิร์ค ( Hotel work is teamwork )

2. เวลาทำงานไม่เหมือนชาวบ้าน ( Unusual , working hour )

3. ความกดดันในการทำงาน ( Pressure of work )

4. การสื่อสารสำคัญยิ่งยวด ( Communication is vitally Important )

- ออกคำสั่ง

- แสดงความคิดเห็น

- จดหมายหรือบันทึกข้อความ

- กรอกใบสั่งซื้อ

- จดข้อความหรือฝากข้อความ

5. ทำงานกับคนหลายจำพวก ( Dealing with all sorts of people )

6. เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ไม่คาดคิด ( Prepared for unexpected problem )

7. ความสุภาพอ่อนน้อมคือคำตอบ ( Courtesy is the answer )

8. ผลตอบแทนทันควร ( Instant Compensation )

ทิปแยก

ทิปรวม

ข้อดี : - ให้ตรงกับความคิดของแขก

- เป็นกำลังใจให้พนักงานตั้งใจบริการ

ข้อดี : - มีรายได้เท่ากัน

- ไม่เลือกบริการ

ข้อเสีย : - เลือกปฎิบัติกับแขก

- อิจฉาเพื่อน

ข้อเสีย : - ไม่ตรงตามความต้องการของแขก

9. บรรยากาศที่เต็มไปมีชีวิตชีวาและความอบอุ่น ( Full of life & warmth )

- โรงแรมมีสีสันสวยงาม รสนิยมการตกแต่ง

- โรงแรมมีชีวิต มีผู้คนตลอดเวลา

- โรงแรมอบอุ่น ทำงานเป็นทีมใกล้ชิด

10. เป็นงานบริการ ( Service type of work )

11. มีเซอร์วิสชาร์จ เป็นรายได้ที่มาจากค่าบริการ ประมาณ 10 % ของรายได้จากลูกค้า

นำมาเฉลี่ยจ่ายให้กับพนักงานทุกคนเป็นสัดส่วนตามเงินเดือนประจำทุกเดือน ซึ่งการมีเซอร์วิสชาร์ตมีข้อดีคือ

- เสียภาษีน้อยลง

- อัตราค่าห้องไม่สูง

12. ข้อห้ามสำหรับพนักงานมีมากกว่า ( More Prohibitive staff regulation )

1.)ห้ามใช้บริการของโรงแรมที่จัดไว้ให้แขก เพราะแขกไม่พอใจ เหมือนไม่เต็มใจ

บริการ , เห็นความแตกต่างมาตรฐานการบริการผิดปกติ

ยกเว้น กรณีที่ผู้บริหารพาแขกไปทานข้าวและเป็นการตรวจสอบคุณภาพบริการมาตรฐาน

2.) ไม่ขอทิปจากแขก

3.) ไม่ทำตัวสนิทสนมกับแขก

4.) ไม่พาแขกไปซื้อของ

5.) ไม่สอดรู้สอดเห็นเรื่องของแขก

6.) ไม่ซุบซิบนินทาแขก หัวเราะ

7. ) ไม่เสนอบริการอื่นที่ไม่ใช้บริการของโรงแรม

8.) ไม่เก็บรักษาของมีค่าที่บังเอิญเก็บได้

Monday, July 06, 2009

ประวัติของโรงแรม

มารู้จักโรงแรมกัน ไหนๆ ก็อุตส่าห์เรียนการโรงแรมฯ มาแล้ว (แต่ยังไม่จบนะ) ก็จะขอแนะนำข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ กับผู้เข้ามาเยี่ยมเยี่ยนหน่อยละกาน

ความหมายและประวัติการโรงแรม

โรงแรม ( Hotel ) หมายถึง คฤหาสถ์ อาคารขนาดใหญ่ บ้านพักขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังหมายถึง สถานทางราชการต่าง ๆ เช่น ศาลากลาง โรงพยาบาล ฯลฯ

คำที่มีความหมายคล้ายคลึงกันกับคำว่า Hotel มีดังต่อไปนี้

1. Inn หมายถึง ที่พักขนาดเล็ก ตั้งอยู่ริมทาง ไม่มีบริการอาหารและเครื่องดื่ม

2. Tavern หมายถึง ที่พักสำหรับคนเดินทางที่ใช้ม้าเป็นพาหนะ มีลักษณะเหมือนโรงเตี๊ยม

3. Accommodation หมายถึง ที่พักที่จัดไว้ให้คนเดินทาง พร้อมมีบริการอาหารและเครื่องดื่ม

4. Motel หมายถึง โรงแรมขนาดเล็ก ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสายสำคัญ ๆ เพื่อให้บริการสำหรับนักเดินทางที่เดินทางโดยรถยนต์

5. Lodge หมายถึง สถานที่ให้เช่าสำหรับพักอาศัยค้างคืนระหว่างเดินทาง ให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม สระว่ายน้ำและคิดค่าเช่าเป็นค่าตอบแทน

6. Guest House หมายถึง สถานที่ให้เช่าขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นห้องโถง ห้องน้ำรวมไม่มีบริการอื่น ๆ ราคาเช่าถูก

ประวัติศาสตร์ธุรกิจโรงแรม ( Hotel History )

ธุรกิจโรงแรมในยุโรป

สมัยโบราณ ระหว่าง 1,700 ปี ก่อนคริสตกาล - ค.ศ.500

โรงแรมสมัยโบราณมีบริการเฉพาะที่พักไม่มีบริการอื่น เพราะมีกฏหมายห้ามไว้ หากฝ่าฝืน

จะ มีโทษถึงประหารชีวิต สมัยกรุงเธนส์ เจริญรุ่งเรือง ประมาณ 600 ก่อนคริศตกาล เริ่มจัดให้มีบริการเคร่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์แก่ลูกค้าที่มาพัก โดยเฉพาะเหล้าองุ่นที่ทำเอง มีบริการอาหารจะพวกขนมปัง นม เนยแข็ง ผัก ถั่ว ฯลฯ โรงแรมมัเลือกสถานที่ตั้งอยู่ใกล้วัด เพราะในการประกอบพิธีบวงสรวงเทพเจ้าจะใช้โรงแรมเป็นที่ประกอบการและ ร่วมรับประทานอาหารกัน

สมัยกรุงโรม มีโรงแรมเกิดขึ้นตามเมืองต่างๆ มีห้องพักขนาดเล็กพร้อมบริการอาหารและเครื่องดื่ม บางแห่งอาจมีบ่อนการพนันและสตรีบริการ

สมัยกลาง ค.ศ. 501 - 1300

ธุรกิจโรงแรมในยุคที่ซบเซา มีวัดเป็นสถานที่เดียวในการจัดบริการที่พักแรมแก่นักเดินทาง

ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักแสวงบุญ

ค. ศ.1300 ในประเทศอิตาลี ธุรกิจการค้าเริ่มขยายตัวทำให้ธุรกิจโรงแรมขยายตัว ในยุคนี้มีที่พักแรมสำหรับคนและม้าหรือสำหรับเปลี่ยนม้า เรียกว่า Yams มีกว่า 10,000 แห่ง นอกจากนี้ยังมีบริการไปรษณีย์สำหรับนักเดินทางด้วย เริ่มมีการรวมกลุ่มกันของเจ้าของโรงแรมเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน เริ่มมีการให้ประมูลบริหารโรงแรม กำหนดเวลาในการดำเนินงานคราวละ 3 ปี และผลการดำเนินงานก็เป็นที่น่าพอใจ ธุรกิจโรงแรมจึงเริ่มขยายตัวมากยิ่งขึ้น

สมัยฟื้นฟู ค.ศ. 1301 - 1600

โร ฝแรมในยุคนี้จะมีอาคารขนาดเล็ก 20 - 30 ห้องมักเรียกว่า George Inn มีห้องเก็บของ อาหาร เหล้าองุ่น ห้องประกอบอาหาร ห้องพักสำหรับคนเลี้ยงม้าและม้า ต่อมามีการพัฒนาปรับปรุงธุรกิจโรงแรม เพื่อให้บริการแก่คนเดินทางที่ร่ำรวย โดยมุ่งเน้นให้ความสะดวกสบาย สนุกสนานเพลิดเพลิน โรงแรมจะจัดให้มีการแสดงละครสัตว์ และกีฬาต่าง ๆ

การ จัดตั้งโรงแรมในสมัยนั้นต้องได้รับอนุญาตจากขุนนาง อัศวิน และเจ้าของที่ดิน ส่วนการตั้งชื่อโรงแรมเดิมใช้สีเขียวเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าเป็นโรงแรม และวิวัฒนาการโดยใช้เครื่องหมายต่าง ๆ เช่น ห่านขาว , ปลาโลมา , สิงโต ฯลฯ

สมัยใหม่ยุคแรก ค.ศ. 1601 - 1800

ยุค ปฏิวัติอุตสาหกรรม เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ธุรกิจโรงแรมก็เจริญรุดหน้า มีการปรับระดับมาตราฐานโรงแรมสูงขึ้น มีการบริการอาหารเลิศรส มีการเปลี่ยนชื่อโรงแรมเป็นชื่อวิสามัญนามแทน โดนมักมีคำว่า Arms เป็นชื่อกำกับท้ายชื่อ โรงแรมที่ทันสมัยที่สุด คือ โฮเต็ล

เดออองลี กัดมีขนาด 60 เตียง ในเมืองแน็นท์

สมัยใหม่ยุคปัจจุบัน ค.ศ. 1801 - 2000

ใน ปี 1889 ในกรุงลอนดอน โรงแรมซาววอย เป็นโรงแรมที่โอ่อ่าที่สุดในอังกฤษ เป็นโรงแรมที่ริเริ่มผลิตไฟฟ้าขึ้นใช้เองมีบริการต่างๆ ครบ มีการประกอบอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกประจำอยู่ด้วย คือ นายออกุส เอสคอฟฟิเอร์ เป็นชาวฝรั่งเศส ต่อมาได้รับยกย่องว่า เป็นบิดาแห่งการครัว ส่วนการบริหารงานเป็นของนายเซซ่าร์ ริกซ์ ชาวสวิสฯ เป็นผู้จัดการโรงแรม ซึ่งบริหารงานในปี ค.ศ. 1805 - 1918 ต่อมาได้รับยกย่องให้เป็นบิดาแห่งการโรงแรม

ใน ยุคนี้บรรดาเสรษฐีผู้มั่งคั่งมักนิยมเดินทางไปพักผ่อนตามสถานตากอากาศ เกิดโรงแรมสำหรับพักตากอาอกาศขึ้นเพื่อรับรองนักท่องเที่ยวดังกล่าว โดยเป็นโรงแรมที่เน้นความหรูหราและทันสมัย

ธุรกิจโรงแรมในอเมริกา

ค.ศ. 1630 แซทมวล โคลส์ ร่วมกับกลุ่มพิวรีตันตั้งโรงแรมแห่งแรก คือ โคลส์ ออร์ดินารี ที่เมือง

บอสตัน เป็นโรงแรมที่มีราคาถูกและมีข้อบังคับเข้มงวดมาก เนื่องจากถูกดูแลโดยบาทหลวงพิวรีตัน มีลักษณะคล้ายหอพัก

ค. ศ. 1642 บริษัทเวสต์อินเดีย สร้างโรงแรมชื่อ ซิตตี้ ทาเวิร์น บริเวณอู่ต่อเรือของนิวยอร์ก โรงแรมในยุคนี้นิยมสร้างตามแนวแม่น้ำลำคลอง เนื่องมีการพัฒนาเส้นทางคมนาคมทางน้ำ ต่อมาเมื่อพัฒนาการคมนาคมใช้ทางรถไฟพัฒนา ธุรกิจโรงแรมก็ผันไปตั้งอยู่ทางเส้นทางรถไฟผ่าน

ค.ศ. 1829 - 1950 โรงแรมในยุคนี้มีการพัฒนาปรับปรุงให้ดีหรูหรามากยิ่งขึ้น เป็นโรงแรมที่มี

ขนาด ใหญ่ มีบริการที่ครบครันไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม แหล่งบันเทิงต่างๆ และเป็นการเปิดประตูสู่ธุรกิจโรงแรมระหว่างประเทศ รวมทั้งมีการติดต่อธุรกิจสายการบินทรานเวิล บางแห่งก็นำเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์

ค.ศ. 1950 การเดินทางนิยมใช้รถยนต์เป็นพาหนะธุรกิจโรงแรมแบบ Motel เป็นสถานที่พักแรม

ที่มีความทันสมัย มีที่จอดรถ มีความหรูหราสะดวกสบาย

ค.ศ. 1970 การคมนาคมทางอากาศโดยใช้เครื่องบินเป็นพาหนะทวีบทบาทมากยิ่งขึ้น เกิดโรง

แรมตามเมืองที่มีสนามบินขนาดใหญ่ ๆ เรียกว่า Airport Hotel

ธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย

ธุรกิจโรงแรมในไทยเริ่มมีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 มีโรงแรมที่เปิดกิจการอยู่ 3 แห่ง

Union Hotel

Fisher s Hotel

Oriental Hotel

ลูกค้าที่มาพักส่วนมากเป็นชาวสต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ต่อมาเกิดไฟไหม้

ยหเว้น Union Hotel ต่อมามีการสร้างโรงแรมตากอาอกาศขึ้นทีอ่างศิลา จังหวัดชลบุรี สำหรับบริการชาวต่างชาติที่ต้องการตากอากาศ

สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ( ร.5 )

มีการเปิดโรงแรม 8 แห่ง คือ

Union Hotel

Falck s Hotel

Germn Hotel

Hamburg Hotel

Marine Hotel

Siam Hotel

Carter s Hotel

Norfolk Hotel

โรงแรมทั้ง 8 แห่งมีบริการห้องพัก อาหารและเครื่องดื่มและยังมีสถานที่สำหรับเล่นกีฬาไว้

บริการ

พ.ศ. 2419 นักเดินเรือชาวเดนมาร์ก 2 คน คือ จาร์ค และชาร์จ ได้ร่วมกันจัดตั้งโรงแรม

โอเรียลเต็ลขึ้น และจัดว่าเป็นโรงแรมที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้น เป็นโรงแรมแห่งแรกที่มีไฟฟ้าใช้

มีบริการต่างๆ ครบครัน และในปี พ.ศ. 2524 ได้รับยกย่องว่าเป็นโรงแรมชั้นเยี่ยมอันดับหนึ่งของโลก

สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ( ร. 6 )

พ. ศ. 2460 พลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงอัครโยธิน ซึ่งขณะนั้น ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมรถไฟแผ่นดิน ทรงริเริ่มกิจการรถไฟเป็นพระองค์แรกและได้รับยกย่องว่า เป็นบิดาแห่งการโรงแรมไทย ทรงสร้างบังกะโลเรือนไม้ที่หัวหิน เป็นโรงแรมชายทะเลแห่งแรกของประเทศไทย ปัจจุบันโรงแรมหัวหินให้เอกชนเช่าดำเนินการ

พ. ศ. 2466 รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าให้ดัดแปลงวังพญาไทเป็นโรงแรมวังพญาไท เพือ่ให้ชาวต่างชาติมาพักแรม และได้รับยกย่องว่าเป็นโรงแรมที่ทันสมัยและยอดเยี่ยมที่สุดในเอเชีย

พ. ศ. 2470 สร้างโรงแรมเรสเฮาส์ สำหรับประชาชนที่หัวลำโพง มีขนาด 14 ห้อง และ สร้างโรงแรมทรอคาเดโร เป็นโรงแรมเอกชนสร้างขึ้นที่ถนนสุรวงศ์ มี 45 ห้อง เป็นโรงแรมแห่งแรกที่มีเครื่องปรับอากาศและลิฟท์ใช้ในประเทศไทย เป็นโรงแรมที่หรูหราทันสมัย ปัจจุบันคือโรงแรมนิวทรอคาเดโร

สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอนันทมหิดล ( ร.8 ) ถึง ปัจจุบัน

สำนัก งานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้สร้างโรงแรมรัตนโกสินทร์และโรงแรมสุริยานนท์ ในปี 2485 เป็นที่รับรองแขกเมืองโดยให้บริการสังคม และต่อมาให้เอกชนดำเนินการต่อและเปลี่ยนชื่อจาก โรงแรมรัตนโกสินทร์เป็นโรงแรมรอยัล (Royal) และโรงแรมสุริยานนท์ เป็นโรงแรมมาเจสติก

ปัจจุบัน ธุรกิจโรงแรมมีการพัฒนาเรื่อยมา มีการจัดบริการต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าสูงสุด มีการบริหารงานในระบบเครือข่ายมากขึ้นทั้งในรูปของเครือข่ายท้องถิ่น และเครือข่ายระหว่างประเทศมากขึ้น และมีการแข่งขันกันสูงขึ้นระบบมาตราฐานการบริการสูงขึ้น